จำนวนที่เสิร์ฟ 4 ที่
|
|
|
|
|
|
ส่วนผสม |
ปริมาณ |
หมายเหตุ |
|
|
|
ส่วนผสมสะเต๊ะ |
|
|
เนื้อไก่ |
300 กรัม |
|
ข่าหั่นละเอียด |
ครึ่ง ช้อนชา |
|
ตะไคร้หั่นละเอียด |
1 ช้อนชา |
|
ขมิ้นผง |
ครึ่ง ช้อนชา |
|
ลูกผักชีคั่วป่น |
ครึ่ง ช้อนชา |
|
ยี่หร่าคั่วป่น |
ครึ่ง ช้อนชา |
|
น้ำตาลทราย |
28 กรัม |
2 ช้อนโต๊ะ |
เกลือป่น |
2 กรัม |
ครึ่ง ช้อนชา |
ไม้เสียบสะเต๊ะ |
20 ไม้ |
|
ส่วนผสมน้ำจิ้มสะเต๊ะ |
|
|
หัวกะทิ |
220 กรัม |
200 มล. |
หางกะทิ |
220 กรัม |
200 มล. |
น้ำพริกแกงคั่ว |
20 กรัม |
|
ลูกผักชีคั่วป่น |
1 กรัม |
1 ช้อนชา |
ยี่หร่าคั่วป่น |
1 กรัม |
ครึ่ง ช้อนชา |
ขมิ้นผง |
ครึ่ง ช้อนชา |
|
ถั่วลิสงคั่วป่นละเอียด |
150 กรัม |
|
น้ำตาลปี๊บ |
100 กรัม |
4 ช้อนโต๊ะ |
เกลือป่น |
6 กรัม |
|
น้ำมะขามเปียก |
14 กรัม |
|
ลูกกระวาน |
2 –3 ลูก |
|
น้ำตาลทราย |
112 กรัม |
ครึ่งถ้วย |
เกลือป่น |
2 กรัม |
ครึ่งช้อนชา |
น้ำส้มสายชู |
50 กรัม |
50 มล. |
แตงกวาผ่าครั้งตามยาวหั่นแว่นหนา 0.5 ซ.ม. |
50 กรัม |
4 ลูก |
หัวหอมซอยปอกหั่นตามยาว หนา 0.3 ซ.ม. |
10 กรัม |
2 หัว |
พริกชีฟ้าแดง หั่นแว่นหนา 0.5 ซ.ม. |
10 กรัม |
1 เม็ด |
|
|
|
วิธีทำสะเต๊ะ |
1. ล้างเนื้อไก่ หั่นเป็นชิ้นบางๆ ขนาด 1 × 4 นิ้ว หนา 0.3 ซ.ม. |
2. โขลกข่า ตะไคร้ ขมิ้นผง ลูกผักชี ยี่หร่า ให้ละเอียด |
3.นำเครื่องที่โขลกมาเคล้ากับเนื้อไก่และหัวกะทิ หมักไว้ประมาณ 30 นาที นำไปเสียบไม้ |
4. นำไปปิ้งใช้ไฟปานกลาง ขณะปิ้งพรมด้วยหางกะทิ จนไก่สุก แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มและอาจาด |
|
|
วิธีทำน้ำจิ้ม |
1. ตั้งหัวกะทิจนแตกมันใส่ เครื่องแกงลงผัดจนหอม ใส่ลูกผักชีป่น ยี่หร่าป่น ผงขมิ้นผง ลงผัดพอหอม ค่อยๆ ใส่หางกะทิลงจนหมด |
2. พอเดือดปรุงรสด้วย น้ำตาลปีบ เกลือ น้ำมะขามเปียก ใส่ถั่วลิสงบดลงพร้อมลูกกระวานเคี่ยวจนน้ำข้นปิดไฟ |
|
วิธีทำอาจาด |
1. ผสมน้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชู เข้าด้วยกัน ตั้งไฟอ่อนพอละลายเมื่อเดือดปิดไฟยกลงพักไว้ให้เย็น |
2.ใส่แตงกวา หอมแกงซอย พริกชี้ฟ้าซอย ลงในถ้วย ราดด้วยน้ำอาจาดใน ข้อ 1 |
|
ลักษณะอาหาร |
สะเต๊ะเนื้อเป็นชิ้นสวยสีเหลืองมีกลิ่นหอมของขมิ้น ตะไคร้ ข่า และกะทิ เนื้อนุ่มไม่แห้งกระด้าง รสเค็มหวาน น้ำจิ้มข้นรสหวานเค็มมันเปรี้ยวเล็กน้อย มีน้ำมันลอยหน้า หอมกลิ่นเครื่องเทศ อาจาดผักสดกรอบไม่เหี่ยวหรือนิ่ม มี 3 รสหวาน เปรี้ยว เค็ม |
|
ข้อแนะนำ |
1. ขณะย่างให้พรมหางกะทิจะช่วยให้เนื้อนุ่มมากขึ้น |
2. เนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ควรเป็นส่วนเนื้อที่มีลักษณะอ่อนนุ่มไม่เหนียว หรือแข็งเมื่อสุก |